กาฬสินธุ์  เผยแรงงานไทยในอิสราเอลถูกนายจ้างทิ้งขาดแคลนอาหารวอนรัฐช่วยเหลือด่วน

ฝ่ายปกครองและหลายหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานในจังหวัดกาฬสินธุ์ ลงพื้นที่เอกซเรย์แรงงานที่เดินทางไปขายแรงงานในประเทศอิสราเอล ล่าสุดเผยพบ 5 แรงงานถูกลอยแพ นายจ้างทิ้ง อาหารเริ่มขาดแคลน เนื่องจากออกไปข้างนอกไม่ได้ วอนรัฐบาลช่วยเหลือกลับบ้านด่วน ขณะที่อีก 2 แรงงานไทยชาวอำเภอเขาวงและอำเภอนาคูกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย เผยกลับถึงบ้านเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ แต่หากเหตุการณ์สงบ อยากกลับไปอีกเพราะรายได้สูงและต้องการหาเงินมาใช้หนี้

 

วันที่ 17 ตุลาคม 2566 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายกิติภูมิชัย วงศ์สนิท นายอำเภอห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ว่า ในส่วนแรงงานชาว อ.ห้วยเม็ก ที่เดินทางไปทำงานในประเทศอิสราเอล ตามที่สำรวจพบว่ามีจำนวน 10 คน โดยเดินทางกลับมาก่อนเกิดเหตุการณ์สู้รบ 1 คน หลังเกิดเหตุการณ์สู้รบใกล้เขตฉนวนกาซาประสงค์ต้องการกลับ 1 คน ส่วนอีก 8 คนไม่ประสงค์เดินทางกลับ เนื่องจากที่พักและที่ทำงานอยู่ในโซนที่ปลอดภัย โดยแรงงานที่ประสงค์จะเดินทางกลับและขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนนั้น คือนายวิไล เทพเมืองไพร ชาวบ้านหมู่ที่ 4 ต.พิมูล อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์

ทั้งนี้จากการลงพื้นที่ตรวจสอบ โดยได้เข้าพูดคุยกับญาติของนายวิไล ซึ่งก่อนหน้านี้ญาติได้ติดต่อพูดคุยกับนายวิไลแล้วทางโทรศัพท์ โดยนายวิไลระบุว่า ตอนนี้อยู่ในเขตอันตรายใกล้การสู้รบ ตอนนี้อาศัยที่บ้านนายจ้าง พร้อมเพื่อนคนงานไทยในจังหวัดต่างๆรวม 5 คน ซึ่งนายจ้างได้หนีออกจากพื้นที่แล้ว ถือว่าเป็นแรงงานถูกทิ้ง และกำลังประสบปัญหาเรื่องอาหารขาดแคลน และความปลอดภัย ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ มีความประสงค์เดินทางกลับประเทศไทยอย่างด่วน อย่างไรก็ตามเบื้องต้น หลังทราบความต้องการได้มอบถุงยังชีพเป็นขวัญกำลังใจแก่ครอบครัว และจะได้เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือต่อไป

ขณะที่บ้านเลขที่ 37 บ้านม่วงหวาน หมู่ที่ 8 ต.หนองผือ อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นบ้านของนายสุเทพ วิชาสาร อายุ 26 ปี หนึ่งในแรงงานไทยในอิสราเอลที่ได้เดินทางกลับมาถึงบ้านในช่วงเช้าวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับแรงงานไทยรายอีกคนคือนายวิทยา เวียนเวช อายุ 34 ปี บ้านเลขที่ 26 หมูที่ 1 บ้านภูแล่นช้าง ต.ภูแล่นช้าง อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งได้เดินทางกลับถึงบ้านเมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา เช่นกัน ท่ามกลางความดีใจของพ่อแม่ ญาติพี่น้องเป็นอย่างมาก โดยญาติและเพื่อนบ้านมีการสู่ขวัญบายศรีผูกข้อมือรับขวัญตามธรรมเนียมอีสาน และร่วมรับประทานอาหาร ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น นอกจากนี้ยังมีส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงาน ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง ผู้นำชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินทางไปให้กำลังใจและสอบถามข้อมูล เพื่อให้ความช่วยเหลือในส่วนที่เกี่ยวข้อง กับ 2 แรงงานไทยแล้ว

นายสุเทพ วิชาสาร อายุ 26 ปี แรงงานไทยชาว อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตนได้เดินทางไปทำงานทอยู่ที่ประเทศอิสราเอลได้ประมาณ 1 ปีเศษ มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางประมาณ 2 แสนกว่าบาท โดยได้ไปกู้ยืมมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง พอเดินทางไปถึงประเทศอิสราเอล ได้ทำงานที่ฟาร์มกระบองเพชร ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอิสราเอล ได้ค่าจ้างเดือนละประมาณ 53,000 บาท ส่งกลับบ้านเดือนละประมาณ 30,000 บาท ช่วงที่เกิดเหตุการณ์สู้รบ นายจ้างพาตน และเพื่อนคนงานวิ่งหนีตายไปหลบที่หลุมหลบภัย โดยไม่ได้ติดต่อทางบ้านเกือบ 2 วัน

 

จนทางบ้านคิดว่าไม่รอด แล้วพอสถานการณ์เริ่มสงบจึงได้โทรกลับมาหาแม่ที่อยู่ทางบ้าน เพื่อบอกว่าตนเองนั้นยังมีชีวิตอยู่ พ่อกับแม่ก็ได้ให้ตนเองรีบเดินทางกลับบ้านเพราะกลัวจะได้รับอันตราย จึงได้ประสานนายจ้างประสานกับสถานทูตไทย เพื่อที่จะลงทะเบียนเดินทางกลับค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับครั้งนี้ รัฐบาลเป็นคนออกให้ทั้งหมด ขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ให้การช่วยเหลือ ทั้งนี้ ตนยังอยากจะกลับไปทำงานอีก เพราะได้ค่าตอบแทนสูงกว่าทำงานที่ประเทศไทย และอยากหาเงินใช้หนี้

ด้านนางประทุม วิชาสาร แม่นายสุเทพ เล่าว่า ตอนแรกที่ได้ยินข่าวว่าเกิดสงครามขึ้นที่อิสราเอลก็รู้สึกกลัวจนทำอะไรไม่ถูก เพราะลูกชายของตนไปเป็นแรงงานอยู่ที่นั่น วันเกิดเหตุวันแรกพยายามโทรติดต่อไปหาลูกชาย แต่โทรติดต่อไม่ได้ สร้างความร้อนใจให้ตนเองเป็นอย่างมากถึงกินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดว่าลูกชายได้รับอันตราย วันที่ 2 ลูกชายได้โทรมาหาและบอกว่ายังปลอดภัยดีก็ค่อยโล่งใจ จึงได้บอกให้ลูกชายเดินทางกลับไทย สำหรับการทำงานในต่างประเทศนั้นถ้าถามว่าจะให้ลูกไปทำงานอีกไหม ตนก็อยากจะให้ไป เพราะที่บ้านไม่ค่อยมีงานทำ และค่าตอบแทนต่ำ แต่ช่วงนี้อยากให้ลูกชายพักผ่อนก่อน รอให้ขวัญกำลังใจดีขึ้นค่อยคิดหาลู่ทางกันใหม่ว่าจะไปทำงานที่ไหนดี

 


ขณะที่นายวิทยา เวียนเวช อายุ 34 ปี แรงงานไทยชาวบ้านภูแล่นช้าง ต.ภูแล่นช้าง อ.นาคู จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตนเองได้เดินทางไปทำงานที่อิสราเอลได้ 2 ปีเศษ มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานทั้งหมดประมาณ 3 แสนบาท และได้ดำเนินการเองทั้งหมด ไม่ได้ผ่านกระทรวงแรงงาน โดยตนเองได้ไปทำงานเป็นเชฟในร้านอาหารญี่ปุ่น ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงของอิสราเอล ซึ่งอยู่ติดกับสถานทูตไทยในอิสราเอล และได้รับค่าจ้างเดือนละ 100,000 บาท จะส่งกลับบ้านประมาณ 60,000-70,000 บาท

นายวิทยา กล่าวอีกว่า ในช่วงที่เกิดสงครามวันแรกนั้น นายจ้างก็ได้ให้มีการหยุดงานแล้วพาไปหลบที่หลุมหลบภัยจนวันที่ 3 นายจ้างก็ได้ให้ออกมาทำงาน แต่ระหว่างทำงานนั้นก็ได้มีเสียงไซเรนเตือนภัยดังอยู่ตลอดเวลา และมีเครื่องบินรบบินอยู่บนหัว เสียงระเบิดดังเป็นระยะๆ ทำให้ตนเองรู้สึกกลัวมากและไม่ขอทำงานต่อ จึงได้บอกกลับนายจ้างว่าจะขอกลับบ้านที่ประเทศไทยจะขอกลับมาพักก่อน หลังเหตุการณ์สงบจึงจะกลับไปทำงานอีกครั้ง ซึ่งนายจ้างอนุญาตให้กลับ โดยดำเนินการตองตั๋วเครื่องบินและเดินเรื่องให้ทุกอย่าง เมื่อกลับมาถึงบ้านตนกราบแทบเท้าพ่อแม่ ด้วยความดีใจที่สุด เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ที่ได้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตาม เมื่อเหตุการณ์สู้รบสงบลง ตนก็อยากจะเดินทางไปทำงานที่ประเทศอิสราเอลอีก เพราะได้รายได้สูง หากทำงานในประเทศไทยรายได้ต่ำ และคงจะไม่มีเงินใช้หนี้

 

 

Related posts